วันอังคารที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ความเป็นจริง ๒ ด้านของมนุษย์

เป็นผู้ที่ถูกสร้าง และสามารถสร้างได้ด้วย ซึ่งแตกต่างจากเครื่องจักร ซึ่งเครื่องจักรเป็นเพียงเครื่องมือเพื่อสร้างสิ่งอื่น ๆ แต่ตัวมันเองไม่สามารถสร้างด้วยความคิดของตัวเองได้ แต่มนุษย์สามารถริเริ่มสร้างสิ่งใหม่ ๆ ได้ มนุษย์มีลักษณะตามพระฉายาของพระเจ้า และหนึ่งในฉายานั้น ก็คือ ความสามารถในการสร้าง บางคนอาจจะไม่เชื่อว่า พระเจ้าจะสามารถสร้างทุกสิ่งทุกอย่างได้ ไม่น่าที่จะสร้างสิ่งต่าง ๆ จากสิ่งว่างเปล่าได้ จะขอยกตัวอย่างเช่น สถาปนิก เมื่อออกแบบ ยังไม่เห็นตัวบ้าน เพียงแค่คิดเท่านั้นเอง
มาจากดิน และได้รับวิญญาณจากพระเจ้า มนุษย์คนเรานั้น เมื่อตายไป ก็จะถูกเผา เหลือเพียงนิดเดียว ขี้เถ้า เมื่อมีชีวิตนั้น ถ้าจะตีราคาตามวัตถุนั้นเป็นมูลค่า ก็มีค่าเพียงนิดเดียวเท่านั้นเอง แต่ทว่าคุณค่าของเรานั้น อยู่ที่ชีวิตของเรามากกว่า ด้านจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นสิ่งอัศจรรย์ที่เรามีทั้งร่างกาย และวิญญาณ ที่พระเจ้าทรงประทานให้แก่เรา
มนุษย์เป็นคนบาป แต่ก็เป็นพระฉายาของพระเจ้า เป็นเรื่องที่เข้าใจยาก เพราะถึงแม้ว่าจะเป็นคนบาป แต่ก็ยังคงเป็นพระฉายาของพระเจ้าเช่นเดียวกัน แม้คนที่ไม่รู้จักรพะเจ้าก็ตาม ก็ยังคงเป็นพระฉายาของพระเจ้า
ต้องการความช่วยเหลือจากทูตสวรรค์ แต่จะเป็นผู้พิพากษาทูตสวรรค์ ในสถานะปัจจุบัน เราอยู่ต่ำกว่าทูตสวรรค์ แต่ทว่าเราก็กลับกลายเป็นผู้พิพากษาทูตสวรรค์ในอนาคต ซึ่งเป็น 2 ด้าน ทั้งด้านที่อ่อนแอ และด้านที่เข้มแข็ง
พระเจ้าทรงรักมนุษย์ แต่ก็ต้องลงโทษมนุษย์เมื่อทำบาป ทั้งนี้ เนื่องจากพระเจ้าทรงความยุติธรรม พระเจ้าจึงต้องลงโทษ ซึ่งแสดงออกเป็นพระพิโรธ แต่ในขณะเดียวกัน พระองค์ก็ทรงเป็นความรัก ซึ่งต่างจากพระเจ้าในสมัยโบราณ พวกเทพเจ้าต่าง ๆ ซึ่งพวกเทพเจ้าเหล่านั้น จะมีลักษณะได้เดียวอย่างเดียว เช่น พระเจ้าแห่งสงคราม พระเจ้าแห่งความรัก เป็นต้น ก็จะเป็นได้เพียงอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น แต่ทว่าพระเจ้าของเรา พระองค์ทรงกริ้วช้า และรักมั่นคงอยู่นาน คือพระองค์มีทั้ง 2 ลักษณะ แต่พระลักษณะหลักของพระองค์ คือ ความรัก พระองค์ไม่ทรงมีพระพิโรธอยู่นาน
มนุษย์ได้รับการยกย่อง และถูกมองว่าไร้ค่า มนุษย์เป็นสัตว์ชนิดเดียวที่สามารถนมัสการได้ จึงเป็นสัตว์ประเสริฐ ไม่เหมือนสัตว์อื่น ๆ และเราแต่ละคนนั้นมีค่า แม้เพียงว่าเรามีเพียงคนเดียวในโลกนี้ พระเยซูคริสต์ก็จะยังคงทรงเสด็จมาตายแทนเรา แต่ในอีกด้านหนึ่ง ก็เป็น มตะ สามารถสูญสลายไปได้ เปรียบเหมือนดอกหญ้า ดังที่พระคัมภีร์ ปัญญาจารย์ได้กล่าวถึงว่า "อนิจจัง"
มนุษย์ไม่ได้เกิดจากวิวัฒนาการ
DNA หรือ Code พันธุกรรม บอกให้เรารู้ว่าสิ่งมีชีวิตถูกกำหนดลักษระไว้ล่วงหน้านานแล้ว ชีวิตไม่ได้ถูกกำหนดโดยสภาวะแวดล้อม ซึ่งแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน ซึ่งสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในทางด้านกฎหมายได้ ในการพิสูจน์หาผู้กระทำผิด เพราะไม่ซ้ำกับใคร บ่งบอกถึงว่า สิ่งมีชีวิตแต่ละชีวิต ได้ถูกกำหนดขึ้นมาไว้แล้ว ว่าจะมีลักษณะอย่างไร แตกต่างกันอย่างไร แม้แต่ฝาแฝด ก็ยังคงมีความแตกต่างกัน ซึ่งล้วนถูกกำหนดล่วงหน้าโดย DNA แล้ว ดังนั้น จึงขัดแย้งกับวิวัฒนาการ เพราะว่า DNA ได้กำหนดไว้ล่วงหน้า ก่อนที่จะได้เจอกับสิ่งแวดล้อม ไม่ใช่สิ่งแวดล้อม มาเปลี่ยนเรา
การผ่าเหล่า หรือ Mutation ไม่สามารถทำให้สิ่งมีชีวิตดำรงอยู่ได้ ซึ่งสิ่งนี้สามารถยกตัวอย่างให้เห็นชัดเจน คือ ม้า และลา ก็ผสมกันเป็นล่อ แต่ล่อก็ไม่สามารถสืบพันธุ์ต่อได้ ดังนั้น จึงเป็นไปได้ยากที่ Mutation จะทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตใหม่ได้
สัตว์หลายชนิดสูญพันธุ์ไป เพราะมันไม่ถูกออกแบบมาสำหรับสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป ดังเช่น ไดโนเสาร์
เด็กทีผิดปกติมักจะแท้ง หรือเมื่อคลอดออกมาก็จะอยู่ได้ไม่นาน
ทฤษฎีวิวัฒนาการเป็นการคาดเดา จะขอโยงถึงความแตกต่างระหว่าง ประวัติศาสตร์ และ วิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์นั้น จะเป็นสิ่งที่สามารถทำซ้ำ ๆ กันได้ และอาจจะมีสิ่งที่ตรวจสอบยืนยันว่าเป็นอะไร และมีทั้งสิ่งที่ยังคงเป็นการคาดเดาอยู่ แต่ประวัติศาสตร์นั้น เป็นสิ่งที่แน่นอน
Behavioral Genetics
มนุษย์แต่ละคน สามารถผลิดไข่ได้ 103000 ฟอง หรือเชื้ออสุจิได้ในจำนวนเดียวกัน ทั้งไข่และอสุจิแต่ละฟองหรือแต่ละตีวนั้น จะมียีนที่มีเอกลักษณ์เฉพาะเจาะจง ดังนั้น ไข่แต่ละฟองที่ถูกเชื้ออสุจิแต่ละตัวนผสมนั้น โอกาสที่พันธุกรรมของเราแต่ละคนจะไปเหมือนหรือซ้ำกับคนอื่นในโลกนี้นั้น เล็กน้อยเหลือประมาณ เราแต่ละคนเป็นบุคคลที่พระเจ้าทรงสร้างไว้อย่างเฉพาะเจาะจง เราก็คือเรา จะไม่มีใครเลียนแบบชีวิตได้เหมือน ดังที่มีคนกล่าวไว้ คือ เมื่อพระเจ้าสร้างเราเสร็จ พระองค์ก็จะทรงทำลายแม่พิมพ์ทิ้งไป ไม่มีใครที่จะสามารถมา copy แบบของเราได้
มนุษย์ในภาษาฮีบรู
มีหลายคำ อาทิเช่น
อาดัม หมายถึง มนุษย์ หรือชื่อของอาดัม บุตรมนุษย์ ซึ่งก็คือมนุษย์นั่นเอง โดยคำนี้เป็นคำที่พระเยซูคริสต์ทรงใช้อ้างถึงพระองค์เอง หมายถึง มนุษย์ ที่พระองค์ทรงใช้คำนี้ เนื่องจากพระองค์ทรงต้องการเน้นย้ำว่า พระองค์เป็นมนุษย์แท้ เพราะพระองค์ทรงเป็นมนุษย์และพระเจ้าในคนเดียวกัน
อิช หมายถึง ผู้ชาย หรืออาจแปลว่าสามี
อาโนช หมายถึง มนุษย์ทั่วไป หรืออาจหมายถึง มนุษย์ที่ต้องตาย แต่จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงสร้างมนุษย์แล้วไม่ต้องตาย แต่เพราะความบาปจึงทำให้เราต้องตาย ยกเว้นเพียง 2 คน คือ อาโนค และ เอลียา จะเห็นได้ว่า คนเราพยายามจะมีชีวิตยืนยาว หรือมีชีวิตอมตะ นิรันดร์ เนื่องจากเป็นสิ่งที่ได้รับการปลูกฝัง ว่าจริง ๆ แล้วมนุษย์ถูกกำหนดมาให้มีชีวิตอมตะ
กาบา มักใช้หมายถึง ผู้ชายที่แข็งแรงกว่าเด็กและผู้หญิง หรืออาจจะใช้พูดถึงนักรบ
มาชิม หมายถึง มนุษย์ทั่วไป รวมถึง ผู้ชายและประชาชน
เนเฟช มักจะถูกแปลว่าวิญญาณ หรือ Soul เนื่องจากคนส่วนใหญ่ จะเชื่อว่ามนุษย์ถูกแบ่งออกเป็น ร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ แต่คำ ๆ นี้ จะพูดถึงตัวตนทั้งหมด ไม่ใช่เพียงจิตวิญญาณ หรือ เพียงร่างกาย หรือจิตใจ ก็คือ คนที่มีวิญญาณของพระเจ้า
ถ้าจะนิยามด้วยความคิดของเรา ก็คือ "ผู้ที่ถูกพระเจ้าสร้าง มีพระฉายาของพระองค์ และมีพระวิญญาณของพระองค์"
Max Lucado ชี้ให้เราเห็นว่ามนุษย์แต่ละคนมีลักษณะดังนี้
เราแต่ละคนไม่ซ้ำกับใคร และไม่มีใครเหมือนเรา พระเจ้ามีพระประสงค์อย่างเฉพาะเจาะจงให้มนุษย์แต่ละคน พระเจ้าทรงสร้างออกแบบชีวิตเราแต่ละคนเป็นพิเศษ (custom design) พระเจ้าจงใจที่จะสร้างเราขึ้นมา และเราเป็นของขวัญให้กับสังคมที่เราอยู่ ถ้าเราเข้าใจหลักการนี้แล้ว เราก็จะไม่น้อยใจว่าทำไมเราจึงไม่เท่าคนอื่น ไม่เก่งในบางเรื่องเท่าคนอื่น หรือไม่ดีเท่าคนอื่น เพราะว่า พระเจ้าทรงสร้างเรา ออกแบบชีวิตของเราเป็นพิเศษ พระองค์จะให้เราอย่างเหมาะสม พอเพียง และดีที่สุดสำหรับเราแล้ว
เราแต่ละคนมีของประทานต่าง ๆ กัน และของพระทานเหล่านั้น พระองค์ทรงประทานมาเพื่อคนอื่น เพื่อพระวรกายของพระองค์ ในทำนองเดียวกัน เราถูกกำหนดให้เกิดขึ้นมาในโลกนี้ เราจะต้องกระทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อโลกนี้ และเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า


ศจ. ดร. เสรี หล่อกัณภัย .หลักสูตรศาสนศาสตร์ระยะสั้น สำหรับคณะเพื่อคุณ คริสตจักรสะพานเหลือง
เรื่อง ศาสนศาสตร์เรื่องมนุษย์.2007.
http://www.followhissteps.com/web_christianstories/Sermons/theologyforyou2.html .25 ก.ย. 53,09.40น.



virojanaram

สาเหตุและผลของการสังคายนาครั้งที่ 1, 2, 3

การสังคายนาครั้งที่ 1
สาเหตุผลการสังคายนา :
1. ปรารภพระสุภัททะกล่าวจ้วงจาบพระธรรมวินัย
2. เพื่อความยั่งยืนของพระธรรมวินัย และความถูกต้อง
3. เพื่อระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า
ทำเมื่อ : พระศาสดาปรินิพพานล่วงแล้วได้ 3 เดือน
สถานที่ทำ : กระทำที่ถ้ำสัตตบรรณคูหา ข้างภูเขาเวภารบรรพต
เวลาทำ : ทำอยู่ 7 เดือนจึงสำเร็จ
การกสงฆ์ : พระอรหันต์ขีณาสพ 500 รูป
ประธานสงฆ์ : พระมหากัสสปเถระ
ผู้วิสัชชนาพระวินัย : พระอุบาลีเถระ
ผู้วิสัชชนาพระธรรม : พระอานนท์เถระ
ผู้อุปถัมภ์ : พระเจ้าอชาตศัตรู แห่งกรุงราชคฤห์
มีผลที่สำคัญ 5 อย่างคือ
1. มีการร้อยกรองพระวินัยเป็นหมวดหมู่ โดยการนำของพระอุบาลี
2. มีการรวบรวมพระธรรมเป็นหมวดหมู่ โดยการนำของพระอานนท์
3. การปรับอาบัติพระอานนท์ให้แสดงอาบัติ
4. การลงพรหมทัณฑ์พระฉันนะ
5. การยอมรับมติของพระมหากัสสปะให้คงเถรวาทไว้
สังคายนาครั้งที่ 2
สาเหตุผลการสังคายนะ : ปรารภเหล่าภิกษุชาววัชชีบุตร ชาวเมืองไพศาลี มีความต้องการจะเลี่ยงพระวินัยจึงแสดงวัตถุ 10 ประการซึ่งขัดกับหลักพระธรรมวินัย
ทำเมื่อ : พระพุทธศักราช 100 ปี
สถานที่ทำ : ณ วาลุการาม เมืองไพศาลี เพื่อชำระวัตถุ 10 ประการ
เวลาทำ : ทำอยู่ 8 เดือนจึงสำเร็จ
ประธานสงฆ์ : พระยสกากัณฑกบุตร
การกสงฆ์ : พระอรหันตขีณาสพ 700 รูป
ผู้ถาม : พระสัพพากามีเถระ
ผู้แก้ : พระเรวตเถระ
ผู้อุปถัมภ์ : พระเจ้ากาลาโศกราช แห่งกรุงไพศาลี
1. ในแง่ของเถรวาทกล่าวได้ว่าสามารถชำระความถูกต้องของการตีความวินัยผิดให้ถูกต้องได้
2. ก่อให้เกิดความแตกแยกทางความคิด (Schism) ในพุทธศาสนา
3. เป็นบ่อเกิดของนิกายมหาสังฆิกะ ซึ่งไม่ยอมรับมติของสังคายนาครั้งนี้
สังคายนา ครั้งที่ 3
สาเหตุผลของการสังคายนา : ปรารภเหล่าเดียรถีย์ประมาณ 60,000 คน เข้ามาปลอมบวชในพระพุทธศาสนาเพื่อหวังลาภสักการะ
เวลาที่ทำ : นับแต่พุทธปรินิพพานมา 238 ปี
สถานที่ทำ : ณ อโศการาม เมืองปาฏลีบุตร
เวลาทำ : ทำอยู่ตลอด 9 เดือนจึงสำเร็จ
การกสงฆ์ : พระมหาเถระ จำนวน 1,000 รูป
ผู้ปุจฉา : พระโมคคัลลีบุตร ติสสเถระเจ้า ผู้เป็นประธาน
ผู้วิสัชชนา : พระมัชฌันติกเถระ กับพระมหาเทวะเถระ
ผู้อุปถัมภ์ : พระเจ้าอโศกมหาราช ผู้ผ่านเอกราช ณ ปาฏลีบุตรนคร
1.สามารถขจัดอลัชชีในพระศาสนาได้ และรวบรวมพระธรรมวินัยให้เป็นบริสุทธิ์ผุดผ่อง
2. มีการรวบรวมแยกพระไตรปิฎกเป็น ๓ อย่างคือ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎก โดยเฉพาะได้บรรจุคัมภีร์กถาวัตถุ เข้าในอภิธรรมปิฎกด้วย
3.ได้มีการส่งพระมหาเถระออกไปเป็นพระธรรมทูตในเมืองต่างๆ ถึง 9 สาย สืบต่อพระศาสนามาจนถึงปัจจุบันในนานาประเทศ
คณะสมณทูต 9 สาย คือ
สายที่ 1 คณะพระมัชฌันติกะ ไปที่แคว้นกัสมิระ และคันธาระ ปัจจุบันคือ แคชเมียร์
สายที่ 2 คณะพระมหาเทวะ ไปมหิสมณฑล คือรัฐการ์นาตกะ/ไมซอร์ ภาคใต้ของอินเดีย ฝั่งตะวันตก
สายที่ 3 คณะพระรักขิตะ ไปที่แคว้นวนวาสีประเทศ อยู่ตอนเหนือของรัฐไมซอร์ ภาคใต้ของอินเดีย
สายที่ 4 คณะพระธรรมรักขิตะ ไปที่แถบอปรันตกชนบท ตอนเหนือของบอมเบย์
สายที่ 5 คณะพระมหาธรรมรักขิตะ ไปแคว้นมหาราฎร์ แถบปูนาในปัจจุบัน
สายที่ 6 คณะพระมหารักขิตะ ไปที่โยนกประเทศ หรือตอนเหนือของอิหร่าน
สายที่ 7 คณะพระมัชฌิมะ ไปยังดินแดนหิมวันตะ หรือเชิงเขาหิมาลัย ประเทศเนปาลปัจจุบัน
สายที่ 8 คณะพระโสณะ กับพระอุตตระ ไปที่สุวรรณภูมิคือเอเชียอาคเนย์ปัจจุบัน
สายที่ 9 พระมหินทเถระ ไปยังประเทศศรีลังกา ในสมัยพระเจ้าเทวานัมปิยติสสะ
virojanaram